ข้อเข่าเสื่อม และแนวทางการรักษาสมัยใหม่

bg object1bg object2

อาการข้อเข่าเสื่อม เกิดจากความเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อนที่ข้อเข่า โดยมีสาเหตุสำคัญคืออายุที่มากขึ้น รวมไปถึงสาเหตุอื่น ๆ เช่น มีน้ำหนักตัวมาก เกิดอาการบาดเจ็บ หรือกรรมพันธุ์

อาการข้อเข่าเสื่อม เกิดจากความเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อนที่ข้อเข่า โดยมีสาเหตุสำคัญคืออายุที่มากขึ้น รวมไปถึงสาเหตุอื่น ๆ เช่น มีน้ำหนักตัวมาก เกิดอาการบาดเจ็บ หรือกรรมพันธุ์

เข่าเสื่อมจะพบมากในวัยกลางคนจนไปถึงผู้สูงอายุ หากไม่ได้รับการรักษา โรคก็จะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ และเมื่อมีการเคลื่อนไหวก็จะทำให้เกิดการเสียดสีจนสึกกร่อน รู้สึกฝืดที่ข้อเข่า เข่าผิดรูปและทำให้เกิดความเจ็บปวด หรือทำให้เกิดความยากลำบากและความไม่สะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน 

 

อาการเข่าเสื่อม 

 

เมื่อต้องเคลื่อนไหว หรือทำกิจกรรมต่างๆ จะทำให้เกิดอาการเจ็บปวดและรู้สึกฝืดที่ข้อเข่า บางครั้งทำให้เคลื่อนไหวได้ไม่สะดวก รวมไปถึงเมื่อไม่ได้เคลื่อนไหวนาน ๆ ก็อาจทำให้เจ็บปวด รู้สึกฝืดขัดที่ข้อเข้าได้ อาการอื่น ๆ ของเข่าเสื่อม ได้แก่ 

 

  • มีเสียงเสียงลั่นในข้อ 

  • มีอาการกดเจ็บ 

  • เข่าอ่อนแรงและสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ 

  • ข้อเข่าไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เต็มที่ เสียความยืดหยุ่น มีอาการข้อติดหรือขยับได้ยาก มักจะเกิดขึ้นเวลาเช้าหรือต้องนั่งเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความยากลำบากเวลาเดิน ขึ้นบันได /ลุกจากเก้าอี้ 

 

ผู้ที่มีอาการสำคัญของเข่าเสื่อม เช่น มีอาการเจ็บปวด ข้อเข่าฝืด รวมไปถึงอาการที่กล่าวไปข้างต้น หากมีอาการติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาและหาทางรักษา เพราะหากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้อาการมีความรุนเแรงยิ่งขึ้น 

 

image1

สาเหตุของเข่าเสื่อม 

 

สาเหตุของเข่าเสื่อม เกิดจากกระดูกอ่อนที่ทำหน้าที่ปกป้องส่วนปลายกระดูกข้อต่อเสื่อมลง ซึ่งทำให้เกิดอาการที่ได้กล่าวในข้างต้นตามมา เข่าเสื่อมที่มาจากสาเหตุอื่นหรือไม่ทราบสาเหตุ มีดังต่อไปนี้ 

 

อายุ 

 

เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด ซึ่งความเสี่ยงในการเกิดเข่าเสื่อมจะมีมากขึ้นเมื่อมีอายุที่มากขึ้น แต่ก็สามารถเกิดกับผู้ที่อายุยังน้อยได้เช่นกัน โดยความเสี่ยงจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีอายุ 40 ปี ขึ้นไป 

 

การบาดเจ็บ 

 

ได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาหรืออุบัติเหตุ และแม้ว่าจะได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติแล้ว แต่ก็ยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดเข่าเสื่อมได้ในอนาคต 

 

เพศ 

 

เพศหญิงมีโอกาสเกิดเข่าเสื่อมได้มากกว่าเพศชาย โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปี ขึ้นไป แต่ในกรณีนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด(ผู้หญิงมีประจำเดือน ทำให้สูญเสียแคลเซียมในกระแสเลือด ส่งผลให้มวลกระดูกลดลงได้เร็ว โอกาสการเกิดข้อเข่าเสื่อมได้มากกว่าผู้ชาย) 

 

โรคอ้วน 

 

ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินหรือเป็นโรคอ้วน อาจทำให้ข้อต่าง ๆ โดยเฉพาะข้อเข่าต้องรับน้ำหนัก 3-4 เท่าต่อน้ำหนักตัว ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงให้เข่าเสื่อมได้เมื่อเวลาผ่านไป 

 

กรรมพันธุ์ 

 

ผู้ป่วยข้ออักเสบบางรายจะพบว่ามีประวัติของคนในครอบครัวเป็นโรคเข่าเสื่อม 

เกิดจากโรคข้ออักเสบชนิดอื่น ๆ เข่าเสื่อมอาจมีสาเหตุจากโรคข้ออักเสบชนิดอื่น ๆ ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดการทำลายของข้อต่อ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เก๊าท์ 

 

นอกจากนั้น ผู้ที่ประกอบอาชีพที่ต้องยกของหนักหรือแบกรับน้ำหนักมาก ๆ เป็นเวลาติดต่อกันยาวนาน ก็จะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดเข่าเสื่อมได้มากขึ้น 

 

 

การตรวจวินิจฉัยโรคเข่าเสื่อม 

 

แพทย์จะเริ่มต้นจากการถามประวัติ เช่น อาการ โรคประจำตัว หรือพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน และตรวจสอบอาการต่าง ๆ จากการตรวจเข่า เช่น อาการบวมแดง อาการกดเจ็บ และดูการเคลื่อนไหวของข้อเข่า เพื่อช่วยให้วินิจฉัยได้ละเอียดและหาสาเหตุได้ชัดเจนยิ่งขึ้น หรือวินิจฉัยหาสาเหตอื่น ๆ ด้วยการตรวจเพิ่มเติม ได้แก่ เอกซเรย์ (X-rays) หรือใช้เครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging: MRI) 

 

นอกจากนั้น แพทย์อาจตรวจน้ำในไขข้อหรือตรวจเลือด เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจทำให้มีอาการปวดข้อหรืออาการที่คล้ายเข่าเสื่อม เช่น รูมาตอยด์ โรคเก๊าท์ การอักเสบหรือการติดเชื้อต่าง ๆ 

 

 

 

แผลเล็ก เสียเลือดน้อย

ไม่ต้องผ่าตัดแบบเปิดใช้เข็มขนาดเล็ก 1 มิลลิเมตร เจาะเข้าสู่บริเวณที่มีปัญหาทำให้แผลมีขนาดเล็กมาก เสียเลือดน้อย

Call Icon02-034-0808

แนวทางการรักษาเข่าเสื่อม 

 

การรักษาเข่าเสื่อม จะมุ่งเน้นไปที่การลดความเจ็บปวดและช่วยให้เคลื่อนไหวได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยการรักษาจะอาศัยวิธีต่าง ๆ ร่วมกัน ได้แก่ 

 

  • ปรับพฤติกรรมในการใช้ชีวิต 

  • ลดน้ำหนัก ควบคุมอาหารและออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก เพราะเมื่อมีน้ำหนักตัวเกินก็จะทำให้เข่าต้องรับน้ำหนักมากและทำให้พัฒนาเป็นเข่าเสื่อมได้ในที่สุด 

  • บริหารข้อเข่า บริหารกล้ามเนื้อข้อเข่าให้มีความแข็งแรงอยู่เสมอหรือยืดเหยียดเข่าเป็นประจำ เพื่อให้กล้ามแข็งแรงจนสามารถช่วยพยุงข้อเข่าได้และเมื่อข้อเข่ามีความยืดหยุ่นสูงก็จะช่วยลดความเจ็บปวดได้ดี 

  • การออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่เพิ่มความตึงเครียดให้กับข้อมากเกินไป เช่น วิ่ง หรือเล่นเวท แนะนำให้ว่ายน้ำ ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่ข้อไม่ต้องรับแรงกดมาก นอกจากนั้น สามารถเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อด้วยการเดินเร็วหรือปั่นจักรยาน สัปดาห์ละอย่างน้อย 150 นาที

 

second image

แนวทางการรักษาด้วยยา 

 

ใช้ยาแก้ปวดหรือยาแก้อักเสบ ผู้ป่วยสามารถปรึกษาแพทย์เพื่อใช้ยาบรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น ยาอะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) แต่ไม่ควรใช้ยานานเพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง นอกจากนั้น หากใช้ยาดังกล่าวแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาขอใช้ยาตามแพทย์สั่ง 

 

ฉีดกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) กรดไฮยาลูโรนิกเป็นส่วนสำคัญของน้ำในข้อต่อ ซึ่งการฉีดกรดไฮยาลูโรนิกเข้าไปที่เข่าจะช่วยเพิ่มความหล่อลื่นให้กับข้อเข่า 

 

การรักษาแพทย์ทางเลือก 

 

การฝังเข็ม (Acupuncture) เป็นวิธีรักษาแบบธรรมชาติตามศาสตร์แพทย์แผนจีน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นความสมดุลให้มวลกระดูกและกระตุ้นการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงที่ข้อ โดยระยะเวลาที่ใช้ในการรักษาจะแตกต่างกันไปแต่ละบุคคล 

 

ใช้ครีมยาเฉพาะที่ เช่น แคปไซซิน (Capsaicin) เพื่อบรรเทาอาการปวดข้อเข่าจากเข่าเสื่อม 

 

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เช่น คอนดรอยติน (Chondroitin) จะช่วยชะลอการแคบลงของช่องระหว่างข้อและลดอาการเจ็บข้อได้ แต่จะพบว่ามีส่วนน้อยที่ได้ผลและส่วนใหญ่จะบอกว่าเป็นเหมือนยาหลอกเสียมากกว่า ซึ่งยังต้องมีการเก็บข้อมูลมากขึ้น 

 

 

กายภาพบำบัดหรือกิจกรรมบำบัด

 

การกายภาพบำบัด เป็นวิธีที่ช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้วิธีทำให้กล้ามเนื้อรอบข้อเข่ามีความแข็งแรงและเรียนรู้วิธีเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับข้อต่อจากนักกายภาพบำบัด ซึ่งวิธีเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการที่ดีขึ้น ปวดน้อยลงและขยับเคลื่อนไหวได้มากขึ้น

 

กิจกรรมบำบัด 

 

ผู้ป่วยจะได้เรียนรู้วิธีใช้ชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม เช่น การทำงานบ้านหรือการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันให้มีความเจ็บปวดน้อยที่สุดการผ่าตัด 

 

สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและการรักษาอื่น ๆ ไม่เป็นผล การผ่าตัดก็จะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่แพทย์จะใช้ในการรักษา โดยจะมี 3 รูปแบบ ได้แก่ การผ่าตัดเพื่อให้ผิวข้อเข้ามาชิดกัน (Arthrodesis) ศัลยกรรมเปลี่ยนข้อเข่า (Arthroplasty) หรือการตัดเปลี่ยนแนวกระดูก (Osteotomy) เป็นต้น วิธีการผ่าตัดขึ้นกับความเหมาะสมในแต่ละบุคคล โดยมีการปรึกษาร่วมกันทั้งประโยชน์และภาวะแทรกซ้อนก่อนการผ่าตัด

 

ภาวะแทรกซ้อนจากเข่าเสื่อม 

 

  • การตายของกระดูก (Osteonecrosis) 

  • เส้นเอ็นรอบ ๆ ข้อต่อแตกหรือเสื่อมสภาพ 

  • เลือดออกในข้อต่อ 

  • ติดเชื้อในข้อต่อ 


 

นอกจากนั้น ภาวะแทรกซ้อนของเข่าเสื่อมมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เมื่อข้อเข่ามีอาการปวดหรือฝืดแข็งอย่างรุนแรงจนทำให้การใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน หรือกิจกรรมต่าง ๆ ไม่สะดวก โดยแพทย์อาจให้ทำการผ่าตัด

 

การป้องกันเข่าเสื่อม 

 

  • การป้องกันเข่าเสื่อมไม่ให้ทรุดลงหรือกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากนัก สามารถทำได้ด้วยการดูแลรักษาสุขภาพ ทั้งการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย หรือการควบคุมน้ำหนัก หากปรับพฤติกรรมเหล่านี้ให้ไปในทางที่ดีขึ้นได้ นอกจากจะดีต่ออาการของข้อเสื่อมแล้ว ยังมีผลดีต่อสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยอีกด้วย 

  • ผู้ป่วยเข่าเสื่อมที่กำลังรักษาด้วยการรับประทานยาตามแพทย์สั่ง แม้อาการจะดีขึ้นแล้ว ก็ควรที่จะรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยควรติดต่อ หรือขอคำปรึกษากับทีมแพทย์ผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะเข่าเสื่อมเป็นโรคที่เกิดขึ้นในระยะยาวและควรได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อผู้ป่วยพบว่าตนเองมีอาการหรือความกังวลใด ๆ เกิดขึ้น ก็ควรแจ้งให้ทีมแพทย์ผู้ดูแลทราบ เพื่อที่จะได้รับการช่วยเหลืออย่างตรงจุด

 

นอกจากนั้น ผู้ป่วยยังสามารถดูแลตัวเองได้ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น 

 

  • ประคบร้อน ประคบเย็น เพราะความร้อนและความเย็นจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้ โดยความร้อนจะช่วยบรรเทาข้อฝืด ส่วนความเย็นจะช่วยลดการหดเกร็งและความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ 

  • ใช้ที่รัดเข่า ผู้ป่วยสามารถสอบถามวิธีที่ถูกต้องในการใช้เทปรัดเข่าจากแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด จะทำให้ได้รู้ว่าควรพันที่ตำแหน่งใดจึงจะเหมาะกับอาการของตนที่สุด 

  • ใช้ครีมหรือเจลบรรเทาปวด ครีมหรือเจลบรรเทาปวดที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป สามารถช่วยบรรเทาปวดจากเข่าเสื่อมได้ชั่วคราว 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก นพ.ณฐพล ลิตติรานนท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลังและข้อต่อ ประจำ รพ. เอส สไปน์ โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลัง 

 

 

 

 

Read More

Share IconShare
Facebook Icon
Line Icon

Related Services

Total Knee Arthroplasty (TKA)

Total Knee Arthroplasty (TKA)

Patients with severe knee osteoarthritis who suffer from chronic pain and limited mobility that interferes with daily life may be considered for total knee replacement (TKA). This procedure helps restore joint function and improves mobilityShape
Partial Knee Replacement (UKA)

Partial Knee Replacement (UKA)

Partial knee replacement involves removing and replacing only the damaged compartments of the knee. Partial knee replacement surgery is also referred to as uni-compartmental knee replacement. Only a piece of the knee is resurfaced with metal and medical grade plastic components in uni-compartmental knee replacement. For individuals whose illness is restricted to only one part of the knee, this technique serves as an alternative to complete knee replacement. 
Meniscus Repair

Meniscus Repair

Meniscus repair is performed for patients who suffer from injuries to the meniscus, often caused by falls or repetitive knee movements that lead to tearing. The procedure helps restore the function of the meniscus, reduce pain, and prevent the progression to osteoarthritis in the long term.
PRP Injection for Knee Joint Treatment

PRP Injection for Knee Joint Treatment

Platelet-Rich Plasma (PRP) injection is a treatment option for patients with early-stage knee osteoarthritis or knee joint injuries. The method involves using the patient’s own highly concentrated platelets to stimulate the growth of new cells and repair damaged tissues, helping to restore joint strength and function.
Hyaluronic Acid Injection for Knee Joint

Hyaluronic Acid Injection for Knee Joint

Early-stage knee osteoarthritis often presents with stiffness, discomfort, or intermittent pain and swelling. Symptoms typically improve with rest but worsen with increased joint use. Hyaluronic acid injection is a suitable treatment for early osteoarthritis, enhancing joint lubrication and reducing the friction that causes pain.
Total Hip Arthroplasty (THA)

Total Hip Arthroplasty (THA)

A total hip replacement involves replacing the ball and socket of the hip joint. A prosthetic head on a shaft is used to replace the femoral head, and a synthetic joint surface is used to line the acetabulum surface. The average surgical operation lasts between one to two hours. How closely you adhere to the home care recommendations provided by your Orthopedic surgeon in the initial weeks following surgery will have a significant impact on the outcome of your procedure. 
Partial Hip Replacement (Hip Hemiarthroplasty)

Partial Hip Replacement (Hip Hemiarthroplasty)

Repeated hip-loading activities—such as frequent stair climbing, heavy lifting, or repeated squatting—combined with conditions like osteoporosis or trauma, can accelerate hip joint degeneration. In cases where damage is localized, such as a femoral neck fracture or partial hip deterioration, partial hip replacement can help relieve pain and restore mobility.
Reverse Shoulder Arthroplasty

Reverse Shoulder Arthroplasty

Patients experiencing shoulder stiffness, limited arm elevation, or deep pain inside the shoulder—especially when reaching, combing hair, or putting on clothes—may be facing rotator cuff tear-related issues. In some severe cases, patients cannot lift their arm at all, even though the arm muscles appear normal. This condition is often caused by a severe rotator cuff tear along with degenerative changes in the shoulder joint, which may result from aging, repetitive shoulder use, or injury. Reverse shoulder arthroplasty has become a promising treatment option to restore mobility and reduce pain in such cases. 
Icon

Consult the Team

Experts Now

Call Now

Call Icon02-034-0808
โรงพยาบาลเอส สไปน์ | S Spine Hospital

No. 2102/9 Ladprao Road, Wang Thonglang Subdistrict, Wang Thonglang District, Bangkok 10310

Call : 02-034-0808
Facebook IconLine IconTiktok IconYoutube IconInstagram Icon

Copyright © 2025 S Spine and Joint Hospital. All right reserved